บทสัมภาษณ์รุ่นพี่สถาปนิกศิษย์เก่าคณะสถาปัตย์
ลาดกระบัง พี่จอย แห่ง อารักษ์สตูดิโอ
สวัสดีค่ะ
วันนี้ดิฉันได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์ พี่จอย
อารักษ์สตูดิโอ เลยอยากนำประสบการณ์และข้อคิดดีๆมาแบ่งปันกันนะคะ
แต่ก่อนที่จะไปถึงส่วนที่เป็นบทสัมภาษณ์ก็อยากจะขอเล่าประวัติส่วนตัวของพี่จอยซักเล็กน้อยค่ะ
พี่จอย ลลิตา อารักษ์เวชกุล เป็นรุ่นพี่ลาดกระบังปี25 รหัส 35 เข้าเรียนในปี2540 และจบการศึกษาปี
2545 และต่อโทที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขา Master Of
Real Estate เป็นสาขาที่เรียนเกี่ยวกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ พี่จอยได้ทำงานที่
Qbism Studio ประมาณเกือบ1 ปี ก่อนที่จะก่อตั้งอารักษ์สตูดิโอ
ผู้ก่อตั้งอารักษ์สตูดิโอแรกเริ่มเดิมทีก็คือพี่ภพ(สามีพี่จอย) พี่จอย และพี่ใหม่น้องชายของพี่ภพที่จบมาทางด้านอินทีเรีย
Q : งานในช่วงแรกๆเป็นอย่างไรบ้างคะ
“งานในช่วงแรกๆเป็น
บ้าน และรับฟรีแลนซ์ไปด้วย เป็นคนรู้จักที่แนะนำกันต่อๆไป งานในสาขานี้ก็คอนเนคชั่นอย่างเดียว
จริงๆงานเริ่มต้นเลยก็คือบ้านที่รอยัล เจมส์ซึ่งเจ้าของโครงการเขาแฮปปี้กับบ้าน
แขกไปใครมาถ้าถามถึง มันก็เป็นการบอกต่อกันไปเรื่อยๆ
ก็เลยทำให้ได้งานจากส่วนนี้อีก เป็นเหมือนการต่อขยายออกไป
หลังจากนั้นก็ได้ขยายสเกลของงานเป็นรับงานโครงการ โดยเริ่มแรกก็คือที่ หัวหิน,
The Falls และเริ่มเยอะขึ้นจากการที่พี่ไปทำให้กับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้นก็คือ
Iris Group เขาก็ให้เราไปทำในทีมที่เป็นงานดีไซน์ ทั้งคอนโดตึกแนวราบ
หรืออาคารสูง
พอมีงานที่มีขนาดใหญ่แบบนี้ขึ้นมามันก็เหมือนเป็นการสร้างความเชื่อมั่น
ทำให้เริ่มมีคนติดต่อเข้ามา แต่ส่วนใหญ่ก็เกิดจากคอนเนคชั่นทั้งนั้น ทั้งพี่ เพื่อน
ลูกค้าแนะนำ หรือจากทีมวิศวกรก็มี ก่อนหน้านี้พี่ก็เคยไปเรียนที่ REC เป็นShort course ที่จุฬา
เพื่อที่อยากเรียนรู้งานด้านอื่นที่ไม่ใช่งานออกแบบ เป็นการจัดสรรที่ดินให้เจ้าของโครงการว่าควรจะทำอะไร
ซึ่งคนที่เข้ามาเรียนส่วนมากก็เป็นเจ้าของโครงการ หรือคนที่ทำงานในสาขาอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่นเจ้าของIris
พี่ก็ไปรู้จักที่นั่น เหมือนเป็นการสร้างโอกาสให้ตัวเองนั่นแหละ
หรืออย่างตอนที่ไปเรียนต่อโทงานพรีเซนต์อะไรแบบนี้มันก็ต้องทำ
ก็เป็นส่วนที่ทำให้คนอื่นเห็นงานของเรา ทำให้คนในห้องมั่นใจว่า
เออก็ทำงานดีไซน์ได้นะ ถ้าให้แนะนำน้องๆก็คือ
เริ่มแรกไม่ว่าจะเป็นงานบ้านหรืออะไรก็ตาม ก็ต้องมีความรับผิดชอบ
และทำให้มันเสร็จสิ้นเรียบร้อย พยายามเอาใจใส่งาน ”
โครงการ The Falls จาก http://www.arakstudio.com/
Q : งาน
หรือ ผลงานของพี่ที่พี่คิดว่า เป็นตัวอย่างที่ดีในการปฏิบัติวิชาชีพ
คืออะไร...อุปสรรคในการปฏิบัติวิชาชีพคืออะไร
“
อุปสรรคในการทำงาน เรื่องมองว่าเราเด็กกว่าไม่ค่อยจะมี แต่ส่วนใหญ่จะมองว่าเป็นคนรุ่นใหม่น่าจะดีเสียมากกว่า
แต่อุปสรรคก็คงจะเป็นเรื่อง ยังเด็กงั้นค่าfee
ก็คงไม่น่าจะแพง อุปสรรคค่าfee ก็ยังคงมีมาจนถึงทุกวันนี้
ถ้าถามว่าเรท ของสมาคมมันก็ออกมานานมากแล้ว แต่เมื่อนำมาคูณกับเปอร์เซ็นต์ของค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ
ค่าแบบก็เลยแพงขึ้นมาเรื่อยๆ ถามว่าคุ้มมั้ยถ้าได้ตามเรทของสมาคมมันก็โอเค แต่ว่าส่วนใหญ่ลูกค้าก็ค่อนข้างต่อรองเหมือนกัน
ถ้าสมมติว่าทุกคนในงานออกแบบดึงมาตรฐานออกมาใช้ร่วมกันมันก็ไม่ต้องมีคำถามว่าลดได้มั้ย
เป็นต้น
ความจริงแล้วก็มีปัญหาอีกเรื่องเหมือนกัน
ในตอนที่จบใหม่ๆก็ยังไม่ค่อยรู้ราคาเท่าไหร่ เวลาที่ลูกค้ากำหนดbudget
มา อาจจะทำให้เกินราคาไปบ้าง
เรื่องความรู้เรายังไม่ถึงเหมือนกัน
เวลาที่เราตอบผู้รับเหมาหน้างาน แต่ถ้าเป็นคำถามที่ไม่รู้จริงๆกฌจะบอกไปเลยว่าไม่รู้แล้วเดี๋ยวจะกลับมาหาข้อมูลให้ค่ะ
จริงๆแล้วงานสายนี้ก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น เราสามารถถามซัพพลายเออร์ได้
สมมติว่าเราไม่รู้ดีเทลการติดตั้งแคลดดิ้งหรืออะไรอย่างนี้เราก็สามารถถามเขาได้
แต่ถ้าเราเป็นฟรีแลนซ์ความน่าเชื่อถือก็อาจจะยังไม่เท่าบริษัท
เขาก็อาจจะวิ่งมาหาน้อยกว่า พี่ก็จะบอกน้องๆที่ออฟฟิศว่าถ้ามีเซลล์เข้ามา
อยากมาฟังก็มาฟัง มันเหมือนเป็นการบรีฟงาน เหมือนกับว่าเรายังเรียนอยู่เรื่อยๆ
ถ้าเราไม่ศึกษาเราก็ไม่รู้หรอกว่าอะไรสเปคอย่างไร หรือราคาเท่าไหร่
ถ้าน้องๆได้เข้าไปอยู่ในบริษัทก็อยากให้ตั้งใจ อาจจะเก็บเป็นสมุดไว้คอยจดเลยก็ได้
มันก็จะเป็น short note ไปให้เราตลอด
อย่าปล่อยให้มันผ่านไป ”
Q : ข้อคิดที่สำคัญในการทำงานคืออะไร?
การปฏิบัติตนต่อการทำงานทำอย่างไร
พี่พยายามวางตารางงานก่อนการทำงาน
แล้วก็บอกลูกค้าว่าเรามี Schedule ประมานนี้และจะทำตามให้ได้
เพราะว่าเรื่องเวลาเป็นเรื่องสำคัญ แต่ไม่ได้หมายความว่าดิ้นไม่ได้ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเราก็ต้องมีการแจ้งลูกค้าด้วย
ให้เค้าได้ทราบความคืบหน้า
ในส่วนของการทำงาน
การเรนเดอร์สมัยนี้ทำออกมาได้ดีอยู่แล้ว ลูกค้าซื้อ แต่หลังจากนั้นก็เห็นใช่มั้ยว่า
อย่างคอนโดบางที่ ตีฟสวยมากแต่พอออกมาจริงทำไมถึงสีแบบนี้ล่ะ
หรืออาจจะเมื่อเข้าไปใช้งานแล้วทำไมไม่เวิร์คเลย หรือห้างบางห้างข้างนอกหวือหวามากเลย
แต่ทำไมเวลาจะหาทางกลับที่จอดรถแล้วหลงตลอดเลย เรื่องsense
of place, function ก็ต้องแม่นเหมือนกัน
การหาแรงบันดาลใจใหม่ๆก็คือ
เที่ยวให้เยอะๆ ดูงานให้เยอะๆ หัดดูดีเทลหรือสังเกตุตามที่ต่างๆก็ได้เหมือนกัน
Q : คิดเห็นอย่างไรกับจรรยาบรรณวิชา คิดเห็นอย่างไรกับการออบแบบเพื่ อสิ่งแวดล้อม
คือเรื่องการออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อมเราเรียนมากันอยู่แล้วแหละ
แต่เขาพึ่งมา prกัน คือเรื่องแบบลมต้องผ่าน
แดดลมฝนเป็นยังไง ครัวต้องอยู่ทิศไหน เราจำได้กันอยู่แล้ว
แล้วเราก็ตรวจแบบเรื่องนี้เยอะที่สุด นี่แหละกรีน มันมาจากเรา
ส่วนเรื่องวัสดุว่าจะทำยังไงให้ได้ลีด หรืออะไรก็ตาม มันคือสิ่งที่ตามมา
ส่วนโปรเจคต์ไหนที่จะเป็นกรีนเลยมันก็ต้องอยู่ที่ โอนเนอร์ด้วย ไม่ใช่แค่ที่เรา ส่วนเรื่องแดดลมฝน
ทุกอย่างคือสิ่งที่เราต้องทำให้เขาอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเพราะมีกฎเกณฑ์นี้แล้วเราถึงทำ
เช่น เรารู้ว่าด้านนี้โดนแดดเยอะก็อาจจะใส่ฟิน หรืออะไรก็ตาม
แต่ก็ไม่ใช่ว่าทำเป็นกระจกทั้งหมดแล้วหาฟินมาใส่ มันก็ไม่ช่วยประหยัดอะไร
หรือเรื่องทิศทางลมก็เหมือนกัน ถ้าเราออกแบบโดยที่คำนึงถึงเรื่องนี้
ก็จะทำให้ช่วยลดปริมาณการใช้แอร์ เป็นต้น
Q : พี่จอยมีสถาปนิกที่ชื่นชอบมั้ยคะ
ตอนนี้นะ
พี่ชอบ
Idin architect ของพี่เป้ เค้าเป็นคนง่ายมากเวลาคิด ลองดูงานนะ
ไม่จำเป็นต้องเยอะหรือซับซ้อนอะไรมากมายขอให้แมสมันสวย ฟังค์ชั่นมันได้นะ
เขาไม่หยุดอยู่กับที่นะ งานไม่ได้จำเป็นต้องกล่อง หรืออะไร มันอยู่ที่บริบทโดยรอบของโครงการ
ก็คือชอบในตัวตนของพี่เป้ด้วยที่เค้าเป็นคนที่สนุกสนาน
แล้วก็เขาน่าจะเป็นหัวหน้าที่ดี
เวลาที่เห็นเขาทำงานกับลูกน้องมันก็มีความสนุกสนานเกิดขึ้น ทำให้คนที่เห็นเขาทำงาน
อยากไปทำงานกับเขา
Q : พี่ๆ
คิดว่า สถาปนิกรุ่นใหม่ๆ ที่ลาดกระบังผลิตออกมา มีคุณภาพอย่างไร
ต้องการให้ภาควิชาปรับปรุงลักษณะบัณฑิตออกมาให้เป็นอย่างไร
พี่ว่าหลังๆมาเราเหมือนเปลี่ยนงานกันบ่อย
เข้าไปที่ไหนแป๊ปๆก็เปลี่ยน แต่มันก็อาจจะเป็นเพราะว่ายังไม่เจอที่ที่ถูกใจอะเนอะ
แต่หลายๆคนก็มองว่าน้องๆเปลี่ยนงานกันง่ายเนอะ
อาจจะเป็นเพราะว่าสมัยนี้ทุกอย่างมันเร็ว อย่างเช่นถ้าเบื่อ ชั้นไปหาที่อื่นก็ได้
ชั้นไปเปิดร้านกาแฟก็ได้ อิสระ ในปัจจุบัน SME
มันก็บูม ด้วยเหมือนกัน บางคนก็เลยนึกว่า เฮ้ยชั้นมีดีไซน์อยู่ในหัว
ชั้นสามารถทำนู่นทำนี่ได้ก็เลยอาจจะเปลี่ยนงานบ่อยนิดนึงอะไรอย่างนี้
อันนี้คือที่พี่มองนะ ถ้าอยากทำงานในสายนี้ก็อยากให้อยู่ที่ไหนก็ศึกษางานที่นั่นเยอะๆก่อน
ลองดูว่าพี่จะมีอะไรอย่างไรให้บ้าง แต่ถ้าจะออกไปเพื่อทำนู่นนี่พี่ก็สนับสนุนนะ
แล้วพี่ก็มองว่าสถาปนิกใหม่ๆเก่งงานคอมกันมาก
เก่งขึ้นเยอะ และก็ในความเก่งตรงนี้ก็อยากให้มีความอดทนด้วย เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มีอะไรให้ศึกษาเหมือนกัน
Q : พี่ๆ
ช่วยเล่าบรรยากาศ สมัยที่เรียน ณ ลาดกระบัง ว่า เรียนกันอย่างไร
ใช้ชีวิตและกิจกรรม ในคณะฯอย่างไร?
“มีแอปเปิ้ล!(หัวเราะ) ตอนแรกก็ไม่อยากจะเชื่อว่ามีอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ
แต่บรรยากาศโดยรวมก็ยังเหมือนเดิมนะ ตึกก็ยังเหมือนเดิม
แต่สมัยพี่ก็มีเลคเชอร์แถวๆตรงที่เป็นห้องเย็นตอนนี้ แล้วก็มีที่ตึกเรียนรวม
พี่เป็นรุ่นที่ตึกบูรนาการพึ่งเสร็จใหม่ๆ ต้นไม้ในคณะน้อยลง
จำได้ว่าแต่ก่อนตรงโรงอาหารมีต้นไม้เยอะกว่านี้เดินไปตรงตึกทรงไทยก็จะร่ม
สมัยนั้นก็จะมีปาร์ตี้ใต้ตึก4ชั้นบ่อย
แล้วก็ทำให้รู้จักเพื่อนต่างภาคเยอะ ก่อนหน้าพี่ยิ่งบ่อยกว่าอีก ทีสิสของพีพี่ทำสถานทูตแคนาดา
แอดไวเซอร์คือดร. สมชาย พี่กับพี่ภพก็พึ่งมาสนิทกันตอนปี5
ช่วงทำพรีทีสิส แล้วก็อยู่ยาวมาจนถึงปัจจุบัน ลูก2 (หัวเราะ)”
“
อาจารย์น่ะ คือถ้าเราเข้าเรียนในสิ่งที่เค้าเตรียมมา
มันไม่ได้น้อยเลยนะที่เค้าจะเตรียมให้เราในหนึ่งคลาส แล้วพอเราไม่เข้า
มันก็เหมือนกับแบบ เสียความตั้งใจ เค้าก็ต้องมีโมโหกันบ้างเป็นธรรมดา มันอยู่ที่ว่าพอมันเกิดปัญหาแล้ว
มันอยู่ที่ว่าเราจะเข้าไปขอโทษหรือดราม่าว่างานไม่ทันอะไรอย่างนี้ มันอยู่ที่เรา
ว่าเราปรับตัวหาเค้าได้หรือเปล่า เพราะอาจารย์เค้าก็ให้อะ
เค้าก็ให้ทุกรุ่นมาอย่างนี้ แสดงว่ารุ่นก่อนเค้าก็ส่งงานได้นี่หว่า
แล้วทำไมรุ่นนี้ต้องเลทเค้าก็ต้องมีคำถามเป็นธรรมดา เค้าไม่ได้มาแบบว่าอยากจะแกล้งอะไรหรอก”
“ถ้าให้แนะนำ
พี่อยากให้ลองทำงานในบริษัทก่อนซัก 4-5 ปี
ก่อนที่จะทำฟรีแลนซ์หรืออื่นๆ เพื่อเก็บประสบการณ์
เพราะรุ่นพี่น่าจะสอนรุ่นน้องได้เร็วกว่า แล้วก็จะได้รู้จักว่าต้องทำงานยังไง
ได้รู้จักคนมากขึ้น พี่ว่ามันส่งผ่านได้เร็วกว่าที่เราเริ่มต้นเรียนรู้ด้วยตนเอง
เหมือนเป็นการวางรากฐาน”
สัมภาษณ์โดย นางสาวณัชชา วรเศรษฐ์ 52020024
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น