ประวัติความเป็นมา
สถาปัตยกรรม
“ชิโน-โปรตุกีส” (sino-Portuguese Architecture) ถือเกิดขึ้นในดินแดนแหลมมลายูในยุคสมัยแห่งจักรวรรดินิยมของตะวันตก
เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๐๕๔ ชาวโปรตุเกสได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานและทำการค้าบริเวณเมืองท่ามะละกา
และได้นำเอาศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนวิทยาการตะวันตกเข้ามาเผยแพร่ด้วยเช่นกัน
ซึ่งในช่วงเวลาที่ชาวโปรตุเกสอาศัยอยู่นั้น ก็ได้สร้างบ้านเรือนที่พักอาศัยไว้
ด้วยการออกแบบสถาปัตยกรรมตามความรู้และประสบการณ์ของตน ทำให้ผลงานสถาปัตยกรรมเหล่านั้นมีรูปแบบแนวตะวันตก
ในขณะเดียวกันนั้นเองได้ให้ช่างชาวจีนนำแบบแปลนของบ้านเรือนนั้นไปดำเนินการก่อสร้าง
แต่ด้วยความรู้และประสบการณ์ประกอบกับความเชื่อที่สืบเนื่องมาจากบริบททางสังคมของช่างชาวจีน
ทำให้ผลงานการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนเพี้ยนไปจากแบบแปลนที่ชาวโปรตุเกสได้วางไว้
โดยช่างชาวจีนได้ตกแต่งลวดลายสัญลักษณ์รวมถึงลักษณะรูปแบบบางส่วนของตัวอาคารตามคติความเชื่อของจีน
เกิดการผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมโปรตุเกสและจีน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้นท่ามกลางสังคมของกลุ่มชน
๓ เชื้อชาติ อันได้แก่โปรตุเกส จีน และมาเลย์
ในดินแดนแหลมมลายูตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ต่อมาเมื่อชาวดัตช์และอังกฤษเข้ามามีอิทธิพลในดินแดนแถบนี้
ก็ได้ปรับปรุงรูปแบบของอาคารดังกล่าว โดยดัดแปลงและสอดแทรกรูปแบบ
รวมไปถึงลวดลายต่างๆ เพิ่มเติมลงไปในการก่อสร้างตามแบบของตน
และก็มีชื่อเรียกลักษณะการก่อสร้างอาคารเหล่านี้ว่า สถาปัตยกรรม “ชิโน-โปรตุกีส”
คำว่า
“ชิโน” หมายถึงคนจีน
และคำว่า “โปรตุกีส” หมายถึง
โปรตุเกส แม้ว่าอังกฤษและดัตช์จะเข้ามามีอิทธิพลในการผสมผสานศิลปะของตนเข้าไปในยุคหลังด้วยก็ตาม
ซึ่งการก่อสร้างบ้านเรือนในรูปแบบนี้ได้แพร่หลายไปยังดินแดนต่างๆ ในแหลมมลายู สามารถพบเห็นได้หลายที่
ไม่ว่าจะเป็นเมืองมะละกา เมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ หรือมาเก๊า
รวมไปถึงประเทศไทย
ถ้าจำแนกสถาปัตยกรรมที่มีคุณค่าของภูเก็ตออกเป็นยุคนั้น
ก็สามารถแบ่งออกมาได้ 3
ยุค คือ ยุคแรก ประมาณช่วง พ.ศ.
2411 - 2443 เป็นช่วงของการเริ่มพัฒนาเมือง ยุคที่สอง พ.ศ. 2444 -
2475 เป็นช่วงของการผสมผสานรูปแบบสถาปัตยกรรมเอเชียกับยุโรป และยุคที่ 3
พ.ศ. 2476 - 2499 เป็นช่วงของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่หรือยุคโมเดิร์น อาคาร 3
ยุคนี้ ได้กลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ของเมืองภูเก็ต ซึ่งชาวภูเก็ตตั้งใจจะรักษาให้คงอยู่สืบไป
ยุคแรก
เป็นช่วงที่มีการก่อตั้งเมืองภูเก็ตปัจจุบัน
ซึ่งเดิมเรียกว่า ทุ่งคา
เป็นพื้นที่ที่มีแหล่งแร่ดีบุกมากจึงมีการตั้งถิ่นฐานกันมากขึ้น
อาคารในยุคนี้มักเป็นอาคารแบบตึกแถวชั้นเดียวหรือสองชั้น
โครงสร้างเป็นปูนหรือดินผสมฟาง โครงหลังคาและประตูหน้าต่างเป็นไม้
ไม่มีการตกแต่งอาคารมากนัก รูปแบบอาคารมักเป็นไปตามวัฒนธรรมของผู้อาศัย ซึ่งได้แก่
ชาวจีนเป็นหลัก และที่สำคัญ
คือมีการเว้นที่ว่างด้านหน้าเป็นช่องทางเดินมีหลังคาคลุมหรือที่เรียกว่า
"อาเขต" หรือในภาษาถิ่น เรียกว่า "หง่อคาขี่่" (Koh kaki แปลว่า
ทางเดินกว้าง 5 ฟุตจีน) อาคารในยุคนี้ปัจจุบันเหลืออยู่น้อยมากแล้วในภูเก็ต
ยุคที่สอง
เป็นช่วงที่การค้าขายแร่ดีบุกเฟื่องฟู
ในขณะเดียวกันก็มีการติดต่อค้าขายกับเมืองปีนังมากขึ้น
ซึ่งอังกฤษได้เข้ามาปกครองปีนังและสิงคโปร์
และได้นำรูปแบบสถาปัตยกรรมที่เป็นที่นิยมในยุโรปช่วงนั้น คือ นีโอคลาสสิก
และเรอเนอซองส์ มาใช้กับการสร้างสรรค์อาคารราชการ ซึ่งในเวลาต่อมาได้ส่งผลถึงอาคารของเอกชนและภูเก็ตก็ได้รับอิทธิพลเช่นเดียวกัน
ลักษณะคืออาคารก่ออิฐถือปูนใช้ผนังหนารับน้ำหนัก รูปแบบ
การตกแต่งแบบนิโอคลาสสิกจะพบในชั้นบนของตึกแถว และคฤหาสน์แบบฝรั่งที่เรียกว่า
อังม้อหลาว โดยมีการตกแต่งด้วยเสาอิงแบบคลาสสิก หน้าต่างแบบฝรั่งเศสคือ ยาวถึงพื้น
มีบานเกล็ดไม้แบบปรับได้ มักทำเป็นสามช่วง ช่องแสงเหนือหน้าต่างเป็นรูปโค้ง
มีการตกแต่งผนังด้วยลวดลายปูนปั้นเป็นรูปสัตว์หรือดอกไม้
ส่วนชั้นล่างมักมีการตกแต่งประตูหน้าต่างแบบจีน
มีการแกะสลักไม้ด้วยลวดลายของจีนเป็นรูปสัตว์ ดอกไม้ เครื่องตกแต่งที่เป็นมงคล
ในอาคารตึกแถวยังยึดถือการมีช่องทางเดินหรือหง่อคาขี่ไว้เพื่อกันแดดกันฝนแก่คนเดินถนนเหมือนในยุคแรก
ยุคที่สาม
เป็นช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่เกิดขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของสถาปัตยกรรมแบบสมัยใหม่หรือโมเดิร์น
รวมทั้งการก่อสร้างแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก
อาคารในยุคนี้ได้เปลี่ยนรูปแบบหน้าต่างเป็นทรงเรขาคณิตทั้งวงกลมและสี่เหลี่ยม
มีการใช้กระจกสีประดับตกแต่ง ในช่วงแรกมีการผสมผสานระหว่างรูปแบบของอาร์ต เดโค
กับนิโอคลาสสิก คือใช้หน้าต่างด้วยลวดลายกรีกหรือโรมันคลาสสิก
ในช่วงหลังมีการทำระเบียงยื่นจากชั้นบนตกแต่งด้วยเรขาคณิตเป็นหลัก
ด้านล่างนี้เป็นลิ้งค์ของ Penang shophouse style ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบชิโนโปรตุกีส Timelineมีความใกล้เคียงกัน ซึ่งก็คือช่วงอาณานิคม
รูปแบบอาคารชิโนโปรตุกีส
รูปแบบสถาปัตยกรรมแบบชิโน-โปรตุกีส แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
ตึกแถว(เตี้ยมฉู่)
ตึกแถว
ส่วนใหญ่มีสองชั้น เป็นร้านค้ากึ่งที่อยู่อาศัย หน้าแคบแต่ลึก
นิยมจัดแบ่งพื้นที่ใช้สอยออกเป็นห้าส่วน เริ่มจากด้านหน้าเป็นสำนักงานหรือร้านค้า
ถัดเข้าไปจะพบห้องรับแขก ห้องพักผ่อน ห้องอาหาร และห้องครัว ตามลำดับ
ส่วนชั้นสองจะเป็นห้องนอน
คฤหาสน์(อั่งม้อหลาว)
อั่งม้อหลาวเป็นภาษาจีนฮกเกี้ยน
"อั่งม้อ" แปลว่า ฝรั่ง หรือชาวต่างชาติ ส่วนคำว่า "หลาว"
แปลว่า ตึกคอนกรีต อั่งม้อหลาว ก็คือคฤหาสน์แบบฝรั่งที่นายหัวเหมืองแร่ของ
ภูเก็ตสร้างเป็นที่อยู่อาศัยในสมัยนั้นโดยบ้านหลังแรกที่สร้างขึ้นตามแบบชิโน-โปรตุกีส
โดยช่างชาวจีนจากปีนัง ก็คือ บ้านชินประชาของพระพิทักษ์ ชินประชา
นายเหมืองต้นตระกูลตัณฑวนิชตั้งอยู่ถนนกระบี่ ถือว่าเป็นต้น
แบบของบ้านคหบดีจีนที่กระจายอยู่ทั่วทั้งเมืองภูเก็ต
ลักษณะเด่นของอาคารรูปแบบชิโนโปรตุกีส
-เป็นตึกแถวสองชั้น
ที่แบ่งพื้นที่ใช้สอยไปตามความลึกของอาคาร
-ถ้าเป็นอาคารแบบ
shop house ด้านหน้าของอาคารจะมีรูปแบบของอาร์ช
(arch)
ต่อเนื่องกันเป็นทางเดิน ซึ่งในภาษาจีนเรียกว่า หง่อคาขี่ หรือ arcade
นั่นเอง
-จิ้มแจ้
ช่องแสงหรือชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า จิ้มแจ้ เป็นลานเอนกประสงค์ คือ บริเวณซักล้าง
เป็นช่องระบายอากาศ ทำให้บ้านสว่าง หรือใช้เป็นบริเวณผักผ่อนก็ได้
-รูปแบบของอาคารได้รับมาจากทางตะวันตก แต่การตกแต่งไปจนถึงลวดลายต่างๆนั้นมาจากฝีมือและประสบการณ์ของชาวจีน ทำให้เกิดความผสมผสาน
ความแตกต่างระหว่างชิโนโปรตุกีส ขนมปังขิง และโคโลเนียล
ความแตกต่างระหว่างทั้งสามอันนี้ก็คือในส่วนแรกชิโนโปรตุกีสนั้นเป็นงานผสมผสานกันระหว่างอาคารแบบโปรตุเกสแล ะลวดลายแบบจีน
รูปร่างของอาคารส่วนใหญ่ที่รู้จักกันดีก็จะเป็นตึกแถว หรือไม่ก็คฤหาสน์ ส่วนขนมปังขิงนั้นจะเน้นที่การฉลุลาดลายของพืชพรรณต่างๆลงบนส่วนประกอบของอาคารเช่น
การฉลุลายในส่วนของหน้าจั่ว ชายคา เป็นต้น สุดท้ายคือโคโลเนียล
ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีความหลากหลายมาก เนื่องจากในยุคอาณานิคม
ประเทศที่มีอำนาจก็อยากที่จะขยายอาณาเขตของตน
ทำให้มีอาคารรูปแบบตะวันตกเกิดขึ้นตามเมืองอาณานิคมต่างๆ
ประเทศมหาอำนาจในตอนนั้นก็คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน เป็นต้น
ตัวอย่างอาคาร
พิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว
อยู่บริเวณถนนกระบี่ สมัยก่อนเคยเป็นโรงเรียนที่เจ้านาย และนายเหมืองในภูเก็ตร่วมกันออกทุนสร้าง
ให้ลูกหลานมีที่เรียนแล้วจ้างครูมาสอน
ถนนถลางและซอยรมณีย์
เป็นถนนสายประวิติศาสตร์อันเก่าแก่
ตรงช่วงนี้จะมีอาคารตึกแถวเก่าที่มีรูปแบบเดิมๆเกาะกลุ่มกันอยู่เป็นจำนวนมากโดยมีจุดเด่นอยู่ตรงที่มีการเปิด
ช่องทางเดินเอาไว้เหมือนในอดีต
ซึ่งเส้นทางนี้เริ่มต้นจากสี่แยกถ.ถลางตัดกับถ.ภูเก็ตไปจนสุดสี่แยกตัดกับ
ถ.เยาวราช มีตึกแถวกว่า 151 คูหาโดยมีตึกแถวที่น่าสนใจตรงช่วงตึกแถวบ้านเลขที่ 107
ถึง 129 ที่ตัวตึกมี
รูปแบบการตกแต่งช่องหน้าต่างโค้งตามแบบสถาปัตยกรรมยุคนีโอคลาสสิค
มีลวดลายที่ดงามเน้นธรรมชาติเถาไม้ ใบไม้ และรูปสัตว์
และก็มีตึกแถวตรงฝั่งเลขคู่ช่วงปลายถนน
ซึ่งตึกแถวบริเวณนี้มีลักษณะเด่นอยู่ที่ประตูด้านหน้า เป็นแบบบานเฟี้ยมไม้เก่าแก่
ช่วงเสาจะกว้างเท่ากับตึก 2 คูหารวมกัน มีการนำศิลปะการเจาะช่องหน้าต่างและ
ลวดลายปูนปั้นแบบอาร์ตเดโคมาใช้ได้อย่างกลมกลืนและสวยงาม
บ้านหลวงอนุภาษภูเก็ตการ
ซึ่งเป็นบ้านที่สร้างในสมัยร. 7 ด้านหน้า
อาคารเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลมกลมขนาดใหญ่ที่รถยนต์เข้าไปจอดเทียบได้ ชั้นล่างเป็นซุ้มโค้งเตี้ย
3 โค้ง หัวเสา จะเป็นแบบดอริก ผนังเซาะเป็นร่องลึก คล้ายแนวหินก่อ
ชั้นบนเป็นระเบียง มีลูกกรงปูนปั้นประดับ หลังคาทรง ปั้นหยา
ด้านปีกซ้ายมีช่องแสงเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลมประดับด้วยบานเกล็ดไม้
ด้านปีกขวาตกแต่งช่องแสงด้วย กระจกสีต่างๆ กรุในกรอบสี่เหลี่ยมมีรูปวงกลมอยู่ข้างใน
แผนที่แสดงตำแหน่งของอาคารที่น่าสนใจในจังหวัด ภูเก็ต
แหล่งอ้างอิง
เป็นต้น